เพราะประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ข้าวของ อาหารการกิน จะเสียง่ายกว่าปกติ การมีตู้เย็นไว้สักตู้ นอกจากจะช่วยถนอมอาหารแล้ว ยังเป็นแหล่งเก็บเสบียงจำเก็บยามต้องอยู่บ้าน WORK FROM HOME (WFH) ตามวิถีใหม่แบบ NEW NORMAL แน่นอนว่าการเลือกตู้เย็นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะตู้เย็นก็มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น ตู้เย็น MINI BAR, ตู้เย็น 1 ประตู, ตู้เย็น 2 ประตู และ ตู้เย็น 4 ประตู ซึ่งแต่ละรูปแบบก็เหมาะกับการใช้งานไม่เหมือนกัน วันนี้ไฮเออร์ขอเผยทริคเด็ดในการเลือกตู้เย็นให้ชีวิตสมาร์ทเหมาะกับตัวคุณ เอาเป็นว่าอย่ารอช้า ตามไปดูกันเลย
1. ขนาดความจุกับสมาชิกในบ้าน
เป็นสิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงก่อนเลือกซื้อ เพราะหากความจุไม่สัมพันธ์กับสมาชิกในบ้าน อาจเกิดปัญหาตามมาได้ เช่น ความจุไม่เพียงพอต่อการใช้งานของสมาชิกในบ้าน, ความจุมากเกินความจำเป็นทำให้เสียเงิน และเสียค่าไฟฟ้าโดยใช้เหตุ
· ครอบครัวขนาดเล็ก (มีสมาชิกในบ้าน 1 - 2 คน)
ควรใช้ตู้เย็นที่มีความจุ 2.5 คิวขึ้นไป หรือประเภท 2 ประตู
· ครอบครัวขนาดกลาง (มีสมาชิกในบ้าน 3 – 4 คน)
ควรใช้ตู้เย็นที่มีความจุ 12 – 15 คิว หรือประเภท 2 ประตู ไปจนถึง ขนาดเริ่มต้นในประเภท 4 ประตู (Multi door)
· ครอบครัวขนาดใหญ่ (มีสมาชิกในบ้าน 5 คนขึ้นไป)
ควรใช้ตู้เย็นที่มีความจุ 15 คิวขึ้นไป หรือประเภท 4 ประตู (Multi door) และ ไซด์บายไซด์ (Side by Side)
2. ประเภทของตู้เย็น
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่าตู้เย็นมีหลากหลายประเภท ซึ่งก็เหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกัน
ตู้เย็น MINI BAR : หนึ่งในตู้เย็นที่เรามักเห็นอยู่ตามโรงแรม แน่นอนว่าตู้เย็นดังกล่าวเหมาะกับห้องที่มีพื้นที่ใช้สอยน้อย เพราะมีฟังก์ชั่นไม่มาก เน้นการแช่เย็นเป็นหลัก ดังนั้นสำหรับใครที่อยู่คอนโด หรือ หอพัก แบบขาจร ออกไปทำงานมากกว่าอยู่ห้อง แต่ต้องการแช่เครื่องดื่ม หรือ อาหารการกินเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เหมาะเป็นอย่างยิ่ง
ตู้เย็น 1 ประตู : อารมณ์คล้ายกับ MINI BAR แต่มีความจุที่มากกว่า ทั้งช่องแช่เย็นและแช่แข็ง ใครที่อยู่บ้าน, คอนโด หรือ หอพัก อยากมีตู้เย็นที่มีพื้นที่ไว้เก็บอาหารมากขึ้น แต่ไม่ต้องการที่ใหญ่เว่อร์จนเกินความจำเป็น อันนี้แหละเวิร์ก แต่ต้องหมั่นละลายน้ำแข็งในช่องแช่แข็งกันหน่อยนะ เพราะช่องแช่เย็นและแช่แข็งอยู่รวมกัน
ตู้เย็น 2 ประตู : เป็นตู้เย็นที่เริ่มมีการแบ่งสัดแบ่งส่วนที่มากขึ้น แต่เน้นที่การแบ่งช่องแช่เย็นกับแช่แข็ง ที่นี้ก็อยู่ที่ว่าจะให้ช่องแช่เย็นอยู่ด้านบน หรือ ด้านล่าง ก็แล้วแต่ความชอบเลย ส่วนใหญ่จะเหมาะกับครอบครัวขนาดกลาง โดยตู้เย็นไฮเออร์ 2 ประตูบางรุ่น สามารถปรับเปลี่ยนทิศทางของการเปิดประตูซ้ายและขวาได้ด้วยนะ ถ้าเปิดฝั่งขวายาก ก็ปรับมาเปลี่ยนฝั่งซ้ายแทนได้ เรียกได้ว่าตอบโจทย์การใช้งานและปรับเข้ากับบ้านได้อย่างลงตัว
ตู้เย็น 4 ประตู (มัลติดอร์) / ไซด์บายไซด์ : ถือเป็นขั้นสุดของตู้เย็นเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากขนาดความจุที่ใหญ่โตมโหฬารแล้ว ส่วนใหญ่จะมีช่องแยกเก็บให้เยอะมาก แถมฟังก์ชั่นภายในก็สามารถปรับให้เหมาะกับอาหารและวัตถุประเภทนั้น ๆ ได้ด้วย เช่น ช่องแยกเก็บผักผลไม้, ช่องแยกเก็บเนื้อสัตว์, ช่องแยกเก็บของแห้ง เป็นต้น ซึ่งตู้เย็น 4 ประตูของไฮเออร์ บางรุ่นมาพร้อมระบบ IOT ที่ช่วยให้การจัดการเรื่องข้าวของหมดอายุเป็นเรื่องง่ายแค่ปลายนิ้ว เรียกได้ว่าเหมาะกับครอบครัวใหญ่ที่มีเสบียงเยอะสุด ๆ
3. พิจารณาฟังก์ชั่นการใช้งาน
แน่นอนว่าตู้เย็นที่มีราคาสูง มักมาพร้อมฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การใช้งานที่มากขึ้น ที่นี้ฟังก์ชั่นที่สำคัญที่มักใช้ในการพิจารณาก็คงหนีไม่พ้น การจัดการเรื่องกลิ่น, การปรับอุณหภูมิให้เข้ากับวัตถุดิบต่าง ๆ และอื่น ๆ อีกมากมาย เอาเป็นว่าใครมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการจัดเก็บอาหารและการใช้งานตู้เย็น ให้นำสิ่งเหล่านั้นเป็นข้อพิจารณาในการเลือกตู้เย็นต่อไปนั่นเอง เพราะแต่ละคนมีความต้องการไม่เหมือนกัน ซึ่งฟังก์ชั่นเหล่านี้ก็มีกระจายตัวอยู่ตามตู้เย็นไฮเออร์หลากหลายรุ่น ก็สามารถเลือกให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ในการใช้งานได้เลย
4. ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5
เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะตู้เย็นต้องใช้ไฟฟ้า ถ้าตู้เย็นกินไฟฟ้าเยอะ ค่าไฟฟ้าก็แพง ดังนั้นมองตู้เย็นแล้ว ก็ต้องมองหาฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 กันไว้ด้วยนะ
และทั้งหมดนี้ก็เป็นเทคนิค ที่ทุกคนสามารถนำไว้ใช้ประกอบการเลือกซื้อตู้เย็นเข้าบ้านอย่างสมาร์ท สำหรับใครที่กำลังมองหาตู้เย็นใหม่ HAIER อยู่ทางนี้ ชอบแบบไหนก็เลือกเลย คลิก https://www.haier.com/th/refrigerators/